บันทึกเรื่อยเปื่อย 10 – เมื่อผมสั่งของออนไลน์จาก 3 ร้านแล้วทั้ง 3 ร้านก็ส่งของในวันเดียวกัน จากจังหวัดเดียวกัน แต่จากคนละบริษัทกัน ทำให้เกิดการรีวิวแข่งขันแบบครั้งเดียวขึ้น ดูเหมือนจะจบใน 3 วันก็จริง แต่กลับเกิดอะไรบางอย่างขึ้นจนก็ต้องมาเขียนบล็อกใน 1 เดือนให้หลัง และดูเหมือนจะเป็นการประจานตัวเองเสียด้วย

ฤกษ์งามยามดี และเงินมี จึงเป็นโอกาสให้ผมได้ซื้อกล้องตัวใหม่ครับ กล้อง SLR ตัวเดิมที่ใช้อยู่ก็จะได้เกษียณอายุราชการออกไปให้ MILC เข้ามาทำงานแทน ด้วยงบประมาณที่เป็นข้อจำกัดอยู่ ทำให้ผมยังอยู่ที่บริษัทผู้ผลิตเดิมครับ แต่อาศัยสมบัติของกล้องใหม่ที่ใช้เลนส์เติมได้ จึงทำให้ซื้อเพียง “Body” (ตัวกล้องเพียงอย่างเดียว) และเพิ่มเงินอีกหน่อยนึงเพื่อที่จะซื้อตัวแปลงก็อยู่ได้แล้วครับ ส่วนแบตเตอรีที่คาดว่าอาจเป็นปัญหาประจำของระบบนี้ ผมเห็นว่าเป็นสิ่งที่หาได้ง่ายในกทม. จึงจะยังไม่ซื้อในช่วงนั้น

ผมสั่งซื้อของจากแหล่งต่าง ๆ ในวันที่ไล่เลี่ยกัน คือ…

  1. ชุดกล้อง (และเลนส์ที่ติดมาด้วย 1 เลนส์) จากร้าน A ผ่านทาง Lazada
  2. ตัวแปลงเลนส์แบบคูณจากร้าน B ผ่านทาง Lazada และ
  3. ตัวแปลงเลนส์แบบปกติจากผู้ค้าอิสระคนหนึ่งบน Facebook

ผมรู้สึกดีที่ได้ซื้อของในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด โดยเฉพาะกล้องที่ถูกกว่าร้านใหญ่ ๆ ขายกว่าครึ่ง (35,000 VS 20,000) โดยยังมีรายละเอียดการรับประกันสินค้าที่เหมือนกัน ผมเชื่อว่ามันคือธรรมชาติของร้านอิสระที่จะมีสินค้าบางอย่างที่หายากในตลาดทั่วไป และเป็นจังหวะที่ดีที่ผมได้พบชุดกล้องชิ้นนั้นตอนลดล้างคลังสินค้าพอดี ทำให้ผมได้ราคาที่ถูกลงไปจากปกติได้มากขนาดนี้

แต่จะว่าไปก็เป็นร้านค้าที่ต้องเจ็บเพราะขายขาดทุนก็ได้ครับ แต่ผมพูดได้คำเดียวว่ามันคือ “กลไกทางตลาด” 

วันที่ 0 (วันจันทร์)

ตอนเช้าผมได้รับข้อความจากผู้ค้าบน Facebook ว่า Adapter แบบธรรมดา ถูกส่งเข้าระบบ EMS ของไปรษณีย์ไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้วแล้ว

และในวันเดียวกันนั้นเองที่ทั้ง 2 ร้านบน Lazada ก็ได้มีการแจ้งเข้ามาว่าพัสดุได้ถูกส่งเข้ายังบริษัทส่งของในเวลาไล่เลี่ยกัน

กล้องถ่ายรูปถูกส่งผ่านบริษัท eDHL ส่วน Adapter แบบคูณนั้นจะถูกส่งโดยบริษัท Kerry 

ถ้าพิจารณาโดยใช้ลักษณะทั่วไปของพัสดุ ชุดกล้องถ่ายภาพนั้นเป็นตัวเลือกที่ควรจะส่งได้ยากที่สุด เพราะมีน้ำหนักที่มากกว่า และขนาดที่ใหญ่กว่าพัสดุอีกทั้ง 2 ชิ้น แต่ก็คงไม่ถือว่าเป็นข้อเสียเปรียบมากนัก หากพิจารณาเวลาเป็นวันและสถานที่เป็นจังหวัด (เชียงใหม่ – กทม.) แล้ว ก็จะพอรับได้ว่ามันยังอยู่ในการเปรียบเทียบการแข่งขันที่ยุติธรรมอยู่บ้าง ผมจึงตัดสินใจเริ่มต้นที่สังเกตการณ์เพื่อเปรียบเทียบว่าบริษัทขนส่งใดใช้เวลาได้น้อยที่สุดและรักษาสภาพของพัสดุได้ดีที่สุด

วันที่ 1 (วันอังคาร)

พัสดุจากไปรษณีย์ไทย ในระบบการให้บริการ EMS ถูกส่งมาถึงจุดหมาย (หอพักของผม) เป็นที่เรียบร้อย โดยที่กล่องทุกอย่างอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ส่วนวัสดุของ eDHL ยังเพิ่งออกจากสถานีคัดแยก (17.33) และ Kerry นั้นยังไม่มีข่าวสารเพิ่มเติมของสินค้า (15.18) คือพัสดุเพิ่งออกจากศูนย์คัดแยกหลัก

ผมคิดว่าน่าจะอีกไม่นานเท่าไหร่นักที่พัสดุอีก 2 ชิ้นที่เหลือจะมาถึง

วันที่ 2 (วันพุธ)

จะเขียนลัดไปก่อนว่าวันนี้เป็นวันที่ eDHL และ Kerry มาส่งของให้ตามกำหนดเวลาและที่อยู่ที่ผมได้ระบุไว้ ถ้าใช้เกณฑ์เดิมในการพิจารณาจะถือได้ว่าทั้ง 2 บริษัทใช้เวลาไปเท่า ๆ กัน (เป็นที่ 2 ร่วม คือใช้เวลา 2 วันในการส่งพัสดุ) และถ้าทุกอย่างเป็นไปตามปกติ การรีวิวเปรียบเทียบในครั้งนี้ก็จะจบลงที่ตรงนี้ครับ แค่เซ็นรับ ทุกอย่างก็เรียบร้อยเสร็จสิ้น

แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นนะสิครับ

เวลาประมาณ 13:00น. ผมได้รับโทรศัพท์จากพนักงานส่งพัสดุของ eDHL เพื่อนัดเวลาในการส่งพัสดุ แม้ตอนนั้นจะเป็นช่วงปิดเทอมของมหาวิทยาลัยอยู่ก็จริง แต่ตัวผมเองนั้นก็ยังคงอยู่ในช่วงการฝึกงาน จึงไม่ได้อยู่ที่หอพักในช่วงเวลากลางวัน ผมนัดเวลาในการรับของเป็นช่วงเวลาประมาณ 17:30 นซึ่งเป็นเวลาที่ผมควรจะกลับไปถึงหอพักพอดี แต่ผมถูกพนักงานปฏิเสธเพราะว่าเวลานั้นเป็นเวลาที่อยู่นอกเหนือการนอกในช่วงการให้บริการของบริษัทไปแล้ว

ผมเสนอให้พนักงานนำพัสดุมาส่งที่ที่ฝึกงานของผมแทน แต่ก็ยังทำไม่ได้ในวันนั้น เพราะถือว่าเป็นการส่งพัสดุนอกเขต แต่ทางบริษัทจะทำการส่งของให้ในวันถัดไป

ประมาณ 15:00น. ผมได้รับโทรศัพท์จากพนักงานส่งพัสดุของ Kerry ปลายสายบอกว่าเขาเดินทางมาถึงที่หอพักของผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และก็เป็นเหมือนกรณีของ eDHL ที่ผมยังรับพัสดุชิ้นนั้นไม่ได้เพราะกลับไม่ทันเวลา และเสนอให้เขามาส่งที่ทำงานแทน แต่ที่ไม่เหมือนกันคือพนักงานปฏิเสธด้วยเหตุผลว่ามันเป็นสิ่งที่เขาทำไม่ได้ ผมจะต้องติดต่อผู้ส่งเพื่อให้เปลี่ยนที่อยู่ในการจัดส่งให้เอง

การส่งพัสดุครั้งแรกของ Kerry จึงล้มเหลวไปโดยปริยาย

*ถ้าจะเปรียบเทียบ ณ จุดนี้ ผมถือว่า eDHL ทำได้ดีกว่า Kerry เพราะมีการโทรศัพท์เข้ามานัดเวลาในการส่งก่อนการเดินทางจริง ซึ่งช่วยในเรื่องขอวการจัดการเวลาได้ดีกว่ากันมาก

เย็นวันนั้น ผมแวะเข้าไปที่ศูนย์บริการของ Kerry เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับการส่งพัสดุ พนักงาน Kerry ยืนยันว่าผมเปลี่ยนแปลงที่อยู่ในการจัดส่งไม่ได้ แต่ทางบริษัทจะเก็บพัสดุไว้ถึง 7 วันในกรณีที่การขนส่งล้มเหลว และตัวผมเองในฐานะผู้รับจะนัดเวลาในการส่งใหม่ได้ในช่วงเวลาที่ว่าไป

18:00น. ด้วยข้อมูลที่ผมได้รับจากศูนย์บริการ Kerry และความรู้สึกที่เร่งรีบที่น้อยลงไปแล้ว ผมเปลี่ยนใจที่จะยืนยัน (เปลี่ยนกลับที่อยู่ในการขนส่ง) ให้บริษัทกลับมาส่งที่หอพักเหมือนเดิม เพียงแต่เบื่อนเวลาออกไปเป็นวันเสาร์ที่ผมจะสะดวกอยู่และรับสินค้านั้นได้อย่างแน่นอน 

ผมโทรไปยังศูนย์ให้บริการกลางของ Kerry โดยยืนยันว่าจะให้กลับมาส่งที่เดิม และนัดหมายเวลาใหม่ ซึ่งพนักงานที่ปลายสายก็ได้อาสาที่จะประสานงานในเรื่องนี้ให้

ส่วน eDHL นั้น ผมโทรไปไม่ทันเพราะตอนนั้นอยู่นอกเวลาการให้บริการของบริษัทแล้ว

วันที่ 3 (วันพฤหัสบดี)

ตอนเที่ยง ผมได้รับโทรศัพท์จากพนักงานของ eDHL ว่าจะมีของเข้ามาส่งยังที่ทำงานของผม ซึ่งก็ไม่นานจากสายโทรศัพท์นั้นก็มีพัสดุเข้ามาจริง ๆ ทุกอย่าเป็นไปตามปกติ พัสดุอยู๋ในสภาพสมบูรณ์ตั้งแต่กล่องภายนอกจนถึงของข้างใน

แต่พอตรวจสอบสถานะการจัดส่งสินค้าของ Kerry อีกครั้งหนึ่งเพื่อดูผลการติดต่อของเมื่อวานกลับกลายเป็นว่า พัสดุถูกตีกลับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

วันที่ 4 (วันศุกร์)

ข้อความแจ้งการตีกลับคือเครื่องหมาย U-turn ทางความคิดของผม พัสดุชิ้นนี้ที่ได้สั่งไปนั้นจะมาไม่ถึงวันที่ต้องใช้งานแน่ ๆ ทางผมที่พอมีทางสำรองอยู่แล้วจึงต้องการที่จะยกเลิกคำสั่งซื้อนี้ แต่ผมยกเลิกคำสั่งซื้อผ่านทางระบบของ Lazada ไม่ได้ เพราะระบบแจ้งว่าพัสดุยังติดอยู่กับบริษัทขนส่ง ผมจึงติดต่อเข้าไปที่ร้านค้าเผื่อว่าจะแก้ไขปัญหาอะไรได้ ซึ่งก็ไม่นานนักก็มีสายโทรตรงเข้าจากร้านค้าเพื่อคุยกับผม ทางร้านไม่ได้ติดใจอะไรที่ผมจะยกเลิกสินค้าชิ้นนี้ และพัสดุในขณะนั้นก็อยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่แล้ว 

ผมและร้านค้ามีความเห็นตรงกันว่ากรณีที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นกรณีที่แปลก เราตั้งข้อสงสัยร่วมกันว่าอาจจะเกิดจากการกระทำบางอย่างของทางตนเองที่ให้เกิดการตีกลับของพัสดุ ถึงแม้ว่าผมจะพยายามติดต่อเข้าไปตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงแรกเพื่อเปลี่ยนแปลงมันให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมก็ตาม 

ผมคิดว่าน่าจะเกิดจากการขอเปลี่ยนที่อยู่ จึงทำให้เกิดการตีกลับ

สิ่งเก็บกลับ และสิ่งที่ควรเก็บกลับ

ของที่ถูกส่งกลับแล้วก็เป็นสิ่งที่ทำอะไรต่อไม่ได้ครับ พอสินค้ากลับไปถึงที่ร้าน ระบบจะยกเลิกคำสั่งซื้อของเราโดยอัตโนมัติ และคินเงินให้ตามช่องทางที่ใช้จ่าย ซึ่งสำหรับ Adapter แบบตัวคูณที่ผมไม่ได้ของจากทางเน็ต ผมพอจะหาซื้อได้ตามร้านในกทม. อยู่ครับ แม้จะต้องเสียอารมณ์นิด เสียโอกาสไปหน่อยจากข้อผิดพลาดของตัวเอง สุดท้ายก็ได้ของครบตามที่ต้องการอยู่เหมือนเดิมครับ

แต่ก็มีบางอย่างที่อาจจะเก็บเป็นประสบการณ์ได้

  1. วางแผนการสั่งและรับของของตัวเองให้ดีตั้งแต่แรก กะเวลาในการส่ง และสถานที่ในการให้ส่งของให้ดี หากต้องการให้พัสดุส่งมาถึงตัวได้เร็วที่สุด และเป็นภาระน้อยที่สุด
  2. หากไม่สะดวกในการรับพัสดุเป็นครั้งแรก ให้ ทั้ง eDHL และ Kerry จะเก็บพัสดุไว้ที่คลังของตัวเองไว้เป็นเวลา 7 วัน ทำให้เราให้เลื่อน (นัด)เวลาในการส่งพัสดุให้เป็นช่วงเวลาที่เราต้องการได้ (เสริมว่าทำกับ LEX ได้ด้วย)
  3. การเปลี่ยนที่อยู่ในการส่งของนั้นไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เพราะ  Kerry ไม่มีนโยบายให้ผู้รับเปลี่ยนที่อยู่ในการจัดส่ง การเปลี่ยนที่อยู่จะต้องทำผ่านผู้ส่งพัสดุเท่านั้น แต่ด้วยนโยบายการเปลี่ยนที่อยู่ของ Lazada ที่ไม่อนุญาตให้เปลี่ยนที่อยู่หลังทำการสั่งซื้อไปแล้ว (ให้ยกเลิกคำสั่งซื้อนั้น และทำการสั่งซื้อใหม่) ทำให้การเปลี่ยนที่อยู่ผ่านทาง Kerry นั้นเป็นไปไม่ได้เลย
  4. ถ้ารับของตามที่อยู่ของตัวเองไม่ได้จริง ๆ บริษัท Kerry จะมีบริการ SCL ซึ่งจะส่งของไปที่ศูนย์ให้บริการของ Kerry แล้วเราต้องไปรับพัสดุที่ศูนย์นั้นเอง แต่ระยะเวลาในการเก็บของไว้ของศูนย์บริการจะเหลือเพียง 3 วัน และก็ต้องขอหมายเหตุว่า ผมยังไม่พบบริการนี้ใน Lazada นะครับ (พบบริการนี้ใน Shopee ซึ่งจะเปิดกว้างกว่าในเรื่องของการเลือกตัวเลือกของการจัดส่ง)
  5. (รอการยันยัน) ถ้าสะดวกในอีกแบบ จะติดต่อเพื่อเข้าไปรับสินค้าที่คลังก็ได้
  6. การเปลี่ยนที่อยู่ของ eDHL ยังเป็นเรื่องเทา ๆ เพราะอาจจะทำได้ แต่ก็อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม